ประวัติ ของ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส

ในเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 1881 หลังจากได้รับการผลักดันจากชาวลอสแอนเจลิส ฝ่ายนิติบัญญัติแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียได้อนุมัติการก่อตั้งมหาวิทยาลัยครูรัฐแคลิฟอร์เนียขึ้น (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยรัฐซาน โฮเซ) เพื่อรองรับการเติมโตของประชากรในแคลิฟอร์เนียใต้มหาวิทยาลัยครูได้เปิดสอนในวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1882 โดยตั้งอยู่บนที่ตั้งห้องสมุดหลักของระบบห้องสมุดลอสแอนเจลิสในปัจจุบัน โครงการดังกล่าวยังมีโรงเรียนประถม ให้ครูใหม่ทดลองการสอนนักเรียนด้วย โรงเรียนประถมดังกล่าวได้กลายมาเป็นโรงเรียนสาธิตยูซีแอลเอ ในปัจจุบัน ในปี ค.ศ. 1887 วิทยาลัยเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยครูลอสแอนเจลิส[29]

มหาวิทยาลัยครูรัฐแคลิฟอร์เนีย สาขาลอสแอนเจลิสในปี 1881

ในปี ค.ศ. 1914 โรงเรียนได้ย้ายไปที่ถนนเวอร์มอนต์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1917 ผู้ว่าการมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแอ็ดเวิร์ด ดิกสันซึ่งเป็นผู้ว่าการเพียงคนเดียวทางตอนใต้ของรัฐและเออร์เนสต์ มอร์ ผู้ว่าการมหาวิทยาลัยครูเริ่มพยายามผลักดันให้ผ่านร่างนิติบัญญัติ ยกระดับให้โรงเรียนเป็นมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งที่สองให้จงได้ หลังตั้งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ พวกเขาถูกต่อต้านจากกลุ่มศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์และฝ่ายนิติบัญญัติจากทางเหนือของรัฐรวมไปถึงเบนจามีน วีเลอร์ ประธานของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1899 จนถึงปี ค.ศ. 1919 โดยกลุ่มคนเหล่านี้ไม่เห็นด้วยกับการเปิดวิทยาเขตทางใต้ ต่อมาเดวิด เพสคอตต์ บาร์โรส์ ประธานมหาวิทยาลัยคนใหม่มีความคิดที่แตกต่างและการผลักดันของชาวแคลิฟอร์เนียใต้ก็เกิดผลในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1919 เมื่อผู้ว่าการรัฐได้ลงนามในร่างกฎหมาย Assembly Bill 626 ซึ่งส่งผลให้ควบรวมวิทยาลัยครูลอสแอนเจลิสกับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ให้กลายเป็นสาขาทางตอนใต้ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ทั้งนี้ยังมีการเปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีและก่อตั้งคณะวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์[30] วิทยาเขตใต้เปิดการเรียนการสอนในวันที่ 15 กันยายนของปีเดียวกันโดยมีนักเรียนเพียง 250 คนในวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และอักษรศาสตร์และ 1,250 คนในหลักสูตรครุศาสตร์

มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สาขาใต้ วิทยาเขตเวอร์มอนต์ 1922

ภายหลังจากนั้นไม่นาน นักเรียนก็เริ่มเข้าไปเรียนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเมื่อถึงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 1920 สถาบันได้ขยายพื้นที่ 25 เอเคอร์ในเวอร์มอนต์ ผู้ว่าการทั้งหลายเริ่มค้นหาตำแหน่งใหม่ให้กับมหาวิทยาลัยและได้ประกาศว่าจะเลือก "พื้นที่แถบเบเวอร์ลี" ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเล็กน้อยของเขตเบเวอร์ลีฮิลส์ หลังจากที่ทีมกีฬาเข้าร่วมแข่งขันในเกม Pacific Coast ในปี ค.ศ. 1926 วิทยาเขตใต้ได้ใช้ชื่อ "บรูนส์" ซึ่งมอบให้โดยสมาคมนักเรียนของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ในตอนนั้น[31] ในปี ค.ศ. 1927 ผู้ว่าการได้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยเป็น "มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลอสแอนเจลิส" (โดยคำว่า "ที่" ถูกเอาออกและแทนด้วยเครื่องหมายคอมมาในภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1958 เพื่อทำให้เหมือนกับวิทยาเขตอื่น ๆ)

อาคาร 4 อาคารแรกของวิทยาเขตคือห้องสมุดประจำวิทยาลัย หอประชุมรอยส์ อาคารฟิสิกส์และชีววิทยา และอาคารเคมี (ซึ่งคือหอสมุดโพเวลล์ หอประชุมรอยส์ ตึกมนุษยศาสตร์ และตึกเฮนส์ในปัจจุบันตามลำดับ) มีพื้นที่รวมทั้งหมด 1.6 กม.2 นักเรียนรุ่นแรกที่เรียนที่นี่ในปี ค.ศ. 1929 มีอยู่ 5,500 คน และต่อมาคณาจารย์และศิษย์รวมไปถึงฝ่ายบริหารและผู้นำชุมชน ได้ร่วมกันผลักดันให้ยูซีแอลเอมอบปริญญามหาบัณฑิตในปี ค.ศ. 1933 และปริญญาดุษฎีบัณฑิตในปี ค.ศ. 1936 แม้ว่าจะได้รับแรงต้านจากเบิร์กลีย์เสมอมา[32]

ยกระดับเป็นมหาวิทยาลัย

ยูซีแอลเอได้รับการยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยใหเท่าเทียมกับเบิร์กลีย์ในปี ค.ศ. 1951 เมื่อเรมอนด์ บี. อัลเลน รับตำแหน่งเป็นอธิการบดีคนแรก ต่อมาการแต่งตั้งให้แฟรงก์ลิน เดวิด เมอร์ฟี เป็นอธิการบดีในปี ค.ศ. 1960 ก็ได้ช่วยให้มหาวิทยาลัยและคณาจารย์เติบโตอย่างรวดเร็วมากตลอดช่วงการรับตำแหน่ง ปลายทศวรรษ ยูซีแอลเอได้รับชื่อเสียงในหลากหลายสาขาวิชา และทำให้มหาวิทยาลัยมีความเป็นเอกเทศและไม่ต้องพึ่งพาอาศัยระบบมหาวิทยาลัยยูซีอีกต่อไป เมอร์ฟีได้อธิบายว่า:

"ผมยกหูโทรศัพท์แล้วโทรมาจากที่ใดสักที่หนึ่ง คนที่รับสายบอกว่า 'มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย' ผมจึงบอกว่า 'ที่นี่เบิร์กลีย์หรือเปล่า' เธอตอบว่า 'ไม่ใช่' ผมจึงพูดต่อว่า 'แล้วผมกำลังเรียนสายกับที่ไหนอยู่' 'ยูซีแอลเอ' ผมถามต่อ 'แล้วทำไมคุณถึงไม่พูดว่ายูซีแอลเอล่ะ' เขาบอกว่า 'เราได้รับคำสั่งให้พูดว่ามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียค่ะ' เช้าวันต่อมาผมไปที่ออฟฟิศแล้วเขียนบันทึกย่อว่า 'โปรดบอกกับพนักงานรับโทรศัพท์ด้วยว่า ตอนที่รับสาย ให้พูดว่า "ยูซีแอลเอ"' มีคนบอกผมว่า 'พวกเบิร์กลีย์จะไม่ชอบเอานะ' ผมจึงบอกต่อไปว่า 'ดูดี ๆ สิ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราทำเองได้ที่นี่โดยไม่ต้องไปขออนุญาตจากใคร'" [33]

ในปี ค.ศ. 2006 มหาวิทยาลัยประสบความสำเร็จในแคมเปญยูซีแอลเอที่ได้รับเงินกว่า $3.05 พันล้านซึ่งเป็นจำนวนที่มากเป็นที่สองสำหรับมหาวิทยาลัยรัฐ[34][35] ในปี ค.ศ. 2008 ยูซีแอลเอได้รับเงินบริจาคกว่า $456 ล้านโดยได้รับมากเป็น 10 อันดับแรกของมหาวิทยาลัยอเมริกาของปีนั้น ๆ[36]

ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 2011 ครอบครัวลุสกินได้บริจาคเงินกว่า $100 ล้านให้กับยูซีแอลเอ[37] ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ยูซีแอลเอได้รับเงินบริจาคกว่า $200 ล้านโดยมูลนิธิลินซีเพื่อก่อตั้งกองทุนสร้างฝัน เพื่อเป็นการสนับสนุนการวิจัยทางการแพทย์และทางวิชาการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนที่ยูซีแอลเอ[38]

แหล่งที่มา

WikiPedia: มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส http://cantic.bnc.cat/registres/CUCId/a10172014 http://data.rero.ch/02-A010035129 http://www.bncatalogo.cl/F?func=direct&local_base=... http://chronicle.com/news/article/1061/ucla-adopts... http://www.dailybruin.com/index.php/article/2012/0... http://www.emporis.com/en/cd/cm/?id=weltonbecketan... http://rankings.ft.com/businessschoolrankings/glob... http://issuu.com/uclaschoolofdentistry/docs/2011-2... http://www.laalmanac.com/employment/em21e.htm http://articles.latimes.com/1996-03-21/news/mn-496...